นายมนตรี สินทวิชัย

เปิดใจ “ครูยุ่น” นั่งเคลียร์ทุกคำถาม ปม “ทำร้ายร่างกาย –ใช้แรงงานเด็ก” ในมูลนิธิ

นายมนตรี สินทวิชัย หรือ ครูยุ่น เข้ารับทราบข้อหา ทำร้ายร่างกายและ พ.ร.บ.แรงงาน ตามหมายเรียกของพนักงานที่มีหน้าที่สำหรับสอบสวน สภ.อัมพวา แล้ว พร้อมยืนยัน เจตนา เป็นการทำโทษอบรม ไม่ใช่การทำร้ายทารุณ และพร้อมตอบคำถามกับสื่อมวลชนในทุกประเด็น

ครูยุ่น ใช้แรงงานเด็ก

นายมนตรี สินทวิชัย หรือ ครูยุ่น เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก จังหวัดสมุทรสงคราม

เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีทำร้ายร่างกายเด็กและเยาวชนในมูลนิธิ และความผิดตาม พ.ร.บ.แรงงาน โดยให้การไม่ยอมรับข้อกล่าวหา พร้อมยืนยันว่า การตีเด็กในคลิปวิดีโอที่ปรากฏ เกิดขึ้นภายหลังการกระทำผิดของเด็กๆ

โดยกล่าวถึงว่า เด็กๆลงเล่นน้ำในแม่น้ำแม่กลอง โดยในกลุ่มมีเด็กว่ายน้ำไม่เป็น ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามและเป็นอันตรายต่อชีวิต และมีบางคนยุ่งเกี่ยวยาเสพติด โดยพยายามชักชวนคนอื่นๆด้วย จึงทำโทษอบรม ไม่ใช่เจตนาการทำร้ายทารุณ

ส่วนประเด็นการรื้อข้าวของ รื้อเสื้อผ้ารวมทั้งการเทสิ่งปฏิกูลสวมเสื้อผ้าของเด็กๆตามคำที่เด็กกล่าวอ้างเล่าให้กับกลุ่มนักศึกษาจิตอาสาฟังนั้น นายมนตรี ยอมรับว่า เป็นคนรื้อเสื้อผ้าออกมากองรวมกันจริง พร้อมกล่าวถึงว่าเสื้อผ้าที่กองรวมกันในภาพเป็นเสื้อผ้าที่ถูกสวมใส่แล้ว แต่มีเด็กบางคนที่ไม่ยอมซัก แต่กลับนำไปซุกซ่อนตามตู้ตามล็อกเกอร์ เมื่อตนเองรู้จึงรื้อออกมาและทำโทษเด็ก โดยการให้คัดแยกนำเสื้อผ้าไปซัก เก็บพับ ให้เรียบร้อย

ยังมีประเด็นการใช้งานเด็กและเยาวชน ที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิให้เข้าทำงานในรีสอร์ทซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัว นายมนตรี ยืนยันว่า รีสอร์ทเป็นธุรกิจครอบครัวจริง แต่ไม่เคยจ้าง หรือใช้แรงงานเด็กๆทำงาน ภาพที่ปรากฏเป็นลักษณะเด็กตามไปช่วยงาน บ้างก็ไปนั่งเล่นตามปกติไม่มีการจ่ายค่าจ้างหรือจำกัดเวลาบังคับทำงาน

ขณะที่ประเด็นการหักเงินค่าขนมหรือเงินไปโรงเรียน ซึ่งทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยถึงเงินบริจาคที่มูลนิธิได้รับว่าอาจจะจัดแบ่งไม่โปร่งใส นายมนตรี แจกแจงว่า การหักเงินมีจริงแต่เป็นการหักเงินเพื่อทำโทษ ซึ่งจะหักครั้งละ 5 บาทถึง 10 บาท ในกรณีที่เด็กไม่ทำหน้าที่ของตน ดังเช่นไม่ทำงานบ้าน ตามตารางเวนที่แบ่งหน้าที่กัน ซึ่งเงินที่ถูกหักก็จะถูกเพิ่มเติมให้กับคนอื่นที่ทำหน้าที่ของตน ตามกฎระเบียบ ไม่ได้หักแล้วเก็บไว้เอง

ใช้แรงงานเด็ก ครูยุ่น เปิดใจ

นายแก้วสรร อติโพธิ ประธานมูลนิธิคุ้มครองเด็ก และนายมนตรี ย้ำว่า

เงินบริจาคของมูลนิธิมีบัญชีรายรับ รายจ่ายชัดเจน ซึ่งตนเองในฐานะประธานได้รับรายงานเป็นประจำทุกปีสามารถตรวจสอบได้

ส่วนเรื่องใบอนุญาตการตั้งขึ้นสถานสงเคราะห์เด็ก ฉบับเดี๋ยวนี้จะหมดอายุในตอนเดือนมกราคม 2566 นายมนตรี กล่าวว่า ถ้าเกิดภาครัฐไม่พิจารณาต่อใบอนุญาตก็จำใจต้องปิดสถานสงเคราะห์ลง แต่มูลนิธิยังสามารถดำเนินการต่อได้ เนื่องจากคนละส่วนกัน เด็กที่จะอยู่ต่อก็อยู่ได้ ส่วนที่สมัครใจกลับบ้านหรือไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นๆก็ยินดี ไม่มีจำกัดอิสระ

ส่วนการดำเนินการที่ผ่านมา มีครูพี่เลี้ยงจำนวน 5 คน มีจำนวนเด็กอยู่ที่ประมาณ 50 ถึง 60 คน ซึ่งเด็กแต่ละคนก็ต่างที่มาจากทั่วประเทศ พร้อมยอมรับว่า การดูแลเด็กต่างที่มา ต่างช่วงวัยย่อมมีนิสัยและพฤติกรรมแตกไม่เหมือนกันไป ทำให้การสั่งสอน ดูแล มีความแตกไม่เหมือนกันไปด้วย แต่มีการใช้ถ้อยคำไม่สุภาพบ้าง การลงโทษด้วยการตีบ้าง ล้วนเป็นเจตนาเพื่อการสั่งสอน

สำหรับการช่วยเหลือเด็ก จนกระทั่งขณะนี้มีเด็กและเยาวชน ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวม 29 คน ด้วยกัน เป็นกลุ่มแรก 8 คน และกลุ่มเมื่อวานอีก 21 คน โดยมีช่วงวัยตั้งแต่ 1 – 20 ปี ส่วนเด็กและเยาวชนที่ยังอยู่ในมูลนิธิ อีกเกือบ 30 ปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยืนยันจะเข้ารับตัวทั้งหมด ออกมาอยู่ในความคุ้มครองสวัสดิภาพ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 อย่างเร็วที่สุด